“พรีเมียมคาร์” แจ๋ว ทะลุ 3,4000 คัน บีอีวี เพิ่มสัดส่วนต่อเนื่อง

ตลาดรถหรูขยายตัวสอดรับทิศทางที่ดีของอุตสาหกรรมยานยนต์ เติบโตก้าวกระโดดกว่า 34%เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ด้วยยอดจดทะเบียนมากกว่า 34,000 คัน เป็นผลจากกำลังซื้อของผู้บริโภคในเซ็กเมนต์ดังกล่าวที่ยังคงมีอยู่ หลังผ่านพ้นช่วงวิกฤติ โดยเป็นตัวเลขของรถยนต์พลังงาน 100% ราว 1,500 คัน ตามเทรนด์และความนิยมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน
ตลาดพรีเมียมคาร์ขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น ด้วยรถหรูรุ่นใหม่ๆ ที่ถูกส่งลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคครบครัน ด้วยทางเลือกที่เพิ่มมากขึ้น มาพร้อมความโดดเด่นที่แตกต่างกันไป สร้างความร้อนแรงให้กับตลาด และกระตุ้นการขยับตัวของแต่ละแบรนด์ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มโอกาสเก็บเกี่ยวยอดขาย
หลังผ่านพ้นช่วงวิกฤติที่สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง อุตสาหกรรมยานยนต์สามารถก้าวเดินและฟื้นตัวขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะในกลุ่มพรีเมียมคาร์ที่เติบโตก้าวกระโดดจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยกำลังซื้อของผู้บริโภคในกลุ่มดังกล่าว ที่ยังคงสามารถจับจ่ายใช้สอยและผลักดันให้ยอดขายของรถหรูขยับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ
ในกลุ่มหัวแถวยังคงเป็นการขับเคี่ยวระหว่าง 2 แบรนด์หลักในบ้านเรา อย่าง บีเอ็มดับเบิลยู และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ภายใต้บทบาทของผู้นำและเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด ด้วยรถรุ่นใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดรับความต้องการของผู้บริโภค ครอบคลุมทั้งในกลุ่มรถยนต์นั่ง และรถอเนกประสงค์ รวมถึงรถยนต์สูงสมรรถนะ และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%
โดยในปีที่ผ่านมา เป็นทางด้านบีเอ็มดับเบิลยูที่ครองสัดส่วนมากที่สุดในตลาดพรีเมียมคาร์ ด้วยยอดจดทะเบียนแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู จำนวนทั้งสิ้น 13,572 คัน ครองส่วนแบ่งทางตลาด 39.2% เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 36% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่มียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 9,982 คัน
เฉือนเอาชนะค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ ที่เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า กว่า 33% ครองอันดับ 2 ในตลาดพรีเมียมคาร์ ด้วยยอดจดทะเบียนจำนวนทั้งสิ้น 13,134 คัน ขยับเพิ่มจากปี 2021 ที่มียอดจดทะเบียนจำนวนทั้งสิ้น 9,886 คัน ครองส่วนแบ่งทางการตลาด 38%
ขณะที่ทางเลือกจากสแกดิเนเวียน อย่าง วอลโว่ เป็นค่ายที่เติบโตมากที่สุดในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลพวงจากกระแสนิยมบีอีวีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รถยนต์แบรนด์วอลโว่ มียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 2,742 คัน ก้าวกระโดดจากปีก่อนหน้ากว่า 77% รั้งอันดับ 3 ด้วยส่วนแบ่งทางตลาดกว่า 8%
ส่วนอันดับ 4, 5 และ 6 มียอดจดทะเบียนใกล้เคียงกัน ไล่เรียงจาก แบรนด์ปอร์เช่ ที่ขยับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า ราว 5.5% ด้วยยอดจดทะเบียน 1,695 คัน ครองส่วนแบ่งราว 4.9% ตามด้วยค่ายอาวดี้ ที่เติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 22% ด้วยยอดจดทะเบียน 1,438 คัน ครองส่วนแบ่ง 4.2% และมินิ ในอันดับ 6 มียอดจดทะเบียน 1,367 คัน เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% ครองตลาดราว 4% ปิดท้ายด้วย เลกซัส ด้วยยอดจดทะเบียน 649 คัน เพิ่มขึ้นราว 9% ครองแชร์กว่า 2%
สำหรับทิศทางของตลาดรถหรูในปีนี้จะยังคงเดินไปในทิศทางที่ยอดเยี่ยม ด้วยการขยับตัวที่น่าสนใจ ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ รวมถึงด้านการลงทุนที่สอดรับกับทิศทางของตลาด และกลยุทธ์ด้านการตลาดของแต่ละค่าย ซึ่งการเพิ่มรุ่นที่ผลิตหรือประกอบในประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ส่งผลโดยตรงในเรื่องของราคา
โดยเฉพาะรถยนต์พลังานไฟฟ้า 100% ซึ่งเป็นอีกเซ็กเมนต์ที่ค่ายรถหรูให้ความสำคัญและเดินหน้าทำตลาด เป็นไปตามเทรนด์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ในยุคที่บีอีวีไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทั้งยังมีทางเลือกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง กระตุ้นการลงทุนด้วยมาตรการด้านภาษีจากภาครัฐบาล ส่งผลในเรื่องราคาที่กระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
นำโดยเจ้าตลาดบีอีวี อย่าง วอลโว่ ที่เดินเครื่องขับเคลื่อนอย่างชัดเจนด้วย 2 รุ่นทางเลือก อย่าง VOLVO XC40 Pure Electric ที่มียอดจดทะเบียนมากถึง 640 คันในปีที่ผ่านมา ขณะที่ VOLVO C40 มียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 32 คัน ฟากบีเอ็มดับเบิลยู ที่เสริมไลน์อัปได้อย่างน่าสนใจ มียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 313 คัน จำแนกเป็น BMW iX3 จำนวน 265 คัน BMW iX และ BMW i4 รุ่นละ 22 คัน และ BMW i3s จำนวน 4 คัน
รองลงมาได้แก่ แบรนด์ปอร์เช่ โดย Porsche Taycan มียอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 289 คัน ตามด้วย มินิ ซึ่งเป็นผลงานของ MINI Electric Cooper SE จำนวนทั้งสิ้น 223 คัน ด้านอาวดี้ ที่มาพร้อม 2 ทางเลือก อย่าง Audi e-tron และ Audi e-tron GT มียอดจดทะเบียน 32 และ 19 คัน ตามลำดับ ขณะที่ Mercedes EQS ทางเลือกที่ค่ายเมอร์เซเดสมียอดจดทะเบียน 6 คัน ปิดท้ายด้วย Lexus UX300e มียอดจดทะเบียน 4 คัน
ส่งผลให้รถหรูพลังงานไฟฟ้า 100% มียอดจดทะเบียนในปีที่ผ่านมา มากกว่า 1,500 คัน จากภาพรวมของเซ็กเมนต์ดังกล่าว ที่มียอดจดทะเบียนมากกว่า 9,700 คัน โดยส่วนใหญ่เป็นตัวเลขของค่ายผู้ผลิตสัญชาติจีน ที่มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นตลาดและปลุกกระแสความนิยมในช่วงที่ผ่านมา
และด้วยการขยับตัวในเรื่องของสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ที่ครอบคลุมการใช้งานมากยิ่งขึ้น บวกกับทางเลือกใหม่ๆ จากหลากหลายแบรนด์ที่เข้าคิวลงทำตลาด จะส่งผลให้สัดส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% เพิ่มมากขึ้น รวมถึงค่ายรถหรูที่ให้ความสำคัญกับเซ็กเมนต์ดังกล่าว และขยับตัวเพิ่มความร้อนแรงให้กับตลาดด้วยเช่นกัน