“รถหรู” เติบโต “วอลโว่” ฮอตสุด “บีเอ็มดับเบิลยู” ครองแชมป์ 4 ปีติด
ภาพรวมของตลาดพรีเมียมคาร์ในปีที่ผ่านมา เดินไปในทิศทางที่ยอดเยี่ยม ปิดตลาดด้วยยอดจดทะเบียนมากกว่า 36,000 คัน ขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 4.2% จากปีก่อนหน้า โดยบีเอ็มดับเบิลยูบดเอาชนะเมอร์เซเดส-เบนซ์ ครองเจ้าตลาดรถหรูเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ขณะที่ค่ายวอลโว่มีอัตราเติบโตมากที่สุดในตลาด สามารถเดินหน้าเก็บยอดขายขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 34.5%
เป็นที่ทราบกันดีว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีที่ผ่านมา ไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องด้วยปัจจัยหลายด้านที่เป็นตัวชะลอการตัดสินใจ ไล่เรียงจากผู้บริโภคไปจนถึงผู้ประกอบการห้างร้านต่างๆ ส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของตลาดรถยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ซึ่งปิดตลาดด้วยตัวเลขต่ำกว่า 780,000 คัน ลดลงจากปีก่อนหน้าราว 8%
อย่างไรก็ดี ด้วยความแข็งแกร่งของแบรนด์รถหรูที่ขยับตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องงานบริการ รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เรียงคิวลงสู่ตลาดในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ยังคงได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากแฟนพรีเมียมคาร์ เนื่องด้วยกลยุทธ์ด้านราคาที่สร้างโอกาสให้ลูกค้ารายใหม่สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นและมีความน่าสนใจ เป็นตัวกระตุ้นการตัดสินใจซื้อจากผู้บริโภค
โดยในปีที่ผ่านมา ตลาดรถหรูปิดยอดขายด้วยยอดจดทะเบียนสะสม 36,068 คัน เพิ่มขึ้น 1,471 คัน จากปีก่อนหน้าเติบโตราว 4.2% สะท้อนถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคในเซ็กเมนต์ดังกล่าว ที่ยังคงสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ รวมถึงการขยายตัวของตลาดรถฟลีต ซึ่งเป็นทิศทางที่หลายแบรนด์เดินหน้าทำตลาด และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากบรรดาผู้ประกอบการ
สำหรับค่ายที่เก็บเกี่ยวยอดได้สูงสุด ยังคงเป็นบีเอ็มดับเบิลยูที่ครองตลาดพรีเมียมคาร์เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ด้วยยอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 14,128 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 556 คัน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.1% ครองส่วนแบ่งในตลาดกว่า 32% โดยเฉพาะรถในกลุ่มลักชัวรีคลาส ที่เติบโตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลพวงจากการเดินหน้าทำตลาดรถฟลีตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงรถรุ่นใหม่ๆ ที่เข้ามาเติมเต็มไลน์อัปและเสริมความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี
ขณะที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ปิดตลาดด้วยตัวเลขที่ลดลงจากปีก่อนหน้าเล็กน้อย ราว 0.2% ด้วยยอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 13,102 คัน ลดลง 32 คัน เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ที่สามารถปิดยอดขายด้วยจำนวนทั้งสิ้น 13,134 คัน ครองส่วนแบ่งในตลาดกว่า 30% ซึ่งค่ายดวงดาวเตรียมเดินเกมรุกตั้งแต่ต้นปี ด้วยการปล่อยโมเดลธุรกิจใหม่ เน้นสร้างความโปร่งใสของราคาและข้อเสนอจากผู้จำหน่ายอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงยกระดับเครือข่ายการค้าปลีกทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ ภายใต้มาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์
รองลงมาได้แก่ ค่ายวอลโว่ ที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่น ด้วยยอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 3,688 คัน ในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นกว่า 1,000 คัน จากปีก่อนหน้า เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 34.5% ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีอัตราเติบโตสูงสุดในตลาดรถหรู ครองสัดส่วน 8.3% พร้อมเดินหน้าสร้างโอกาสขยายสัดส่วนด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ในทิศทางที่มุ่งสู่การทำตลาดด้วยรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายในปี 2568
นอกจากนี้ วอลโว่ยังมีแผนที่จะจัดตั้งศูนย์ซ่อมและรีไซเคิลแบตเตอรี่ในประเทศ โดยเริ่มต้นด้วยโครงการรีไซเคิลแบตเตอรี่ผ่านความร่วมมือกับ TES ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโซลูชันด้านเทคโนโลยีที่ยั่งยืน โดยเชื่อว่าจะสามารถลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องตลอดช่วงอายุการเป็นเจ้าของรถบีอีวีและปลั๊ก-อิน ไฮบริด รวมถึงการเปิดศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสีมาตรฐานครบวงจรแห่งที่ 3 ในปีนี้ เพื่อการเข้าถึงงานบริการที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น
ค่ายปอร์เช่ เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลพวงจากการขับเคลื่อนตลาดด้วยความเข้มข้น ทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ที่สามารถเรียกยอดขายจากแฟนปอร์เช่ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ ที่เป็นหนึ่งในแรงผลักดันให้สามารถขยับยอดจดทะเบียนเพิ่มเป็น 1,799 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 104 คัน เติบโตเพิ่มขึ้นราว 6% ครองสัดส่วนในตลาดรถหรู 4.1%
ถัดมาได้แก่ มินิ แบรนด์ลูกของบีเอ็มดับเบิลยู ที่ดูค่อนข้างเงียบเหงาในปีที่ผ่านมา และด้วยการขยับตัวน้อยลง ส่งผลให้มียอดจดทะเบียนในปีที่ผ่านมาลดลงเล็กน้อยเช่นกัน ด้วยยอดทั้งสิ้น 1,349 คัน ลดลงจากปีก่อนหน้า 18 คัน ครองส่วนแบ่งตลาด 3.0% อย่างไรก็ดี ด้วยฐานแฟนที่เหนียวแน่นในประเทศไทย ยังคงเป็นกำลังสำคัญที่จะกระตุ้นยอดขายในปีนี้ อยู่ที่กลยุทธ์ด้านการตลาดว่าจะเดินไปในทิศทางใด
ขณะที่ค่ายอาวดี้ แม้จะเดินหน้าขับเคลื่อนตลาดด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงแคมเปญและโปรโมชันกระตุ้นการตัดสินใจจากลูกค้า ทว่าท้ายที่สุด ปิดยอดประจำปีด้วยตัวเลขจดทะเบียน 1,246 คัน ลดลง 192 คัน จากปีก่อนหน้า คิดเป็น 13.4% ครองสัดส่วนในตลาด 2.8% โดยเชื่อว่าค่ายสี่ห่วงจะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนตลาดอย่างเข้มข้นในปีนี้
ปิดท้ายด้วยแบรนด์เลกซัส ที่มีอัตราขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 16.5% ด้วยตัวเลขยอดจดทะเบียนทั้งสิ้น 756 คัน ในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 คันจากปีก่อนหน้า ครองส่วนแบ่งตลาดรถหรู 1.7% ซึ่งเป็นผลสัมฤทธิ์จากการเดินหน้าทำตลาดที่น่าสนใจของค่ายดังกล่าว ทั้งด้านการเติมพอร์ตด้วยรถรุ่นใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการยกระดับงานบริการที่มีส่วนร่วมผลักดันในปีที่ผ่านมา
จากที่ทิศทางดังกล่าว เชื่อว่าจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญให้ค่ายรถหรูเดินหน้าสานต่อแนวทางดังกล่าว ด้วยการขยับตัวที่น่าสนใจและต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี เพื่อสร้างโอกาสเก็บเกี่ยวยอดขายและขยายสัดส่วนในตลาด ในเซ็กเมนต์ที่ผู้บริโภคยังคงมีกำลังซื้อ บวกกับภาพรวมทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเดินไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ