ลองขับ By Oil New MG VS HEV เอสยูวีของคนรุ่นใหม่

หากเอ่ยถึงรถยนต์อเนกประสงค์ที่มีในตลาดบ้านเรา ก็ถือว่ามีเยอะอยู่มาก ซึ่งบรรดาค่ายรถชั้นนำต่างๆ ต่างก็มีผลิตภัณฑ์รถเอสยูวีรุ่นใหม่ๆ ป้อนออกสู่ตลาดกันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รถยนต์ในกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่แบบครอสโอเวอร์ ที่เป็นรถยนต์ที่ประกอบขึ้นชิ้นเดียวทั้งคัน ดูคล้ายกับรถเก๋งยกสูง รูปร่างหน้าตาสวย ทันสมัย อีกทั้งยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมมากกว่ารถยนต์นั่งปกติ
มาวันนี้เราจะพูดถึงผู้นำในตลาดอย่าง เอ็มจี ที่ครองกระแสความร้อนแรงของรถยนต์อเนกประสงค์ ล่าสุดได้เปิดตัว เอสยูวีครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ อย่าง New MG VS HEV ที่มาพร้อมคำนิยามว่า “ABSOLUTE” เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง “ความสมบูรณ์แบบ” ทั้งรูปลักษณ์ ดีไซน์การออกแบบ และอีกหนึ่งไฮไลต์ของรถยนต์รุ่นนี้คือการอัดฟังก์ชันการใช้งานสมัยใหม่เข้ามาใส่ในรถรุ่นนี้อย่างครบครัน มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนแบบฟูลไฮบริด ที่ใช้มอเตอร์บูสเตอร์ ผสานการทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ให้พละกำลังและสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
เริ่มต้นมาเราเกริ่นถึงรูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถกันคร่าวๆ จะเห็นได้ถึงการดีไซน์สมัยใหม่ กับกระจังหน้า Electrified Matrix Grille Design ไฟ LED ทั้งด้านหน้าและหลัง มาพร้อมระบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ และไฟส่องสว่าง Day Time แทรกด้วยสีฟ้าบ่งบอกถึงความเป็นรถไฮบริด ล้อแม็ก 17 นิ้ว พร้อมยาง 215/55/17 มี AERO WHEEL COVER ฝาครอบพลาสติกเพิ่มความลู่ลม สามารถถอดออกได้ ตัวรถด้านข้างให้อารมณ์สปอร์ต ตัดกับหลังคาทูโทนสีดำ มาพร้อมพาโนรามิคซันรูฟ ขณะที่ด้านท้ายของตัวรถดูจะไม่ค่อยแตกต่างจากรุ่นพี่อย่าง ZS สักเท่าไหร่
โดยรถรุ่นนี้ใช้พื้นฐานของ MG ZS เป็นตัวออกแบบ มิติตัวถังมีขนาดความยาว 4,370 มิลลิเมตร กว้าง 1,809 มิลลิเมตร สูง 1,653 มิลลิเมตร ฐานล้อ 2,585 มิลลิเมตร ความกว้างล้อหน้า/หลัง 1,526 / 1,539 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุด 145 มิลลิเมตร น้ำหนักประมาณ 1,450 กิโลกรัม
และถึงแม้ว่าตัวรถจะดูมีความคล้ายกับรุ่นพี่อยู่บ้าง แต่ภายในนั้น New MG VS มีความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ด้วยหน้าจอ Dual Widescreen Cockpit ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว 2 จอ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของรถกลุ่ม B-SUV ที่มีการออกแบบในลักษณะนี้ หน้าจอแสดงผลแบบ HD แบ่งเป็นมาตรวัด Full Virtual Dashboard ขนาด 12.3 นิ้ว และจอที่คอนโซลกลางขนาด 12.3 นิ้ว ควบคุมด้วยระบบสัมผัส และ Illuminated Touch Panel มาตรวัดปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลายรูปแบบ ภาพกราฟิกสวยสบายตาและเข้าใจง่าย ส่วนจอที่คอนโซลกลางใช้ระบบสัมผัส ตอบสนองได้ทันใจพอสมควร แสดงผลคมชัดเช่นกัน ที่ได้ใช้ตลอดการเดินทางคือระบบนำทางผ่าน 2 ระบบ ทั้ง AppleCarPlay และ Andriod Auto
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันให้การควบคุมในสไตล์รถยุโรป ก้านฝั่งซ้ายเป็นไฟเลี้ยว และระบบควบคุมการเปิด-ปิดไฟ ส่วนฝั่งขวาเป็นระบบควบคุมที่ปัดน้ำฝน ระบบเกียร์เป็นแบบไฟฟ้า คอนโซลกลางดีไซน์แบบ 2 ชั้น Double Layer เพิ่มพื้นที่ใช้สอย ด้านบนเป็นที่ชาร์จไร้สายแบบ Fast Charge สามารถชาร์จสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ๆ ได้ มีแผ่นกันลื่นที่ช่วยล็อกอุปกรณ์ให้อยู่กับที่ ด้านล่างของคอนโซลกลางมีช่องจ่ายไฟฟ้าและช่อง USB-A สำหรับเชื่อมต่อ และ USB-C สำหรับชาร์จ ในส่วนของช่องแอร์จะอยู่ด้านล่างสุด เหนือปุ่มควบคุมแบบระบบสัมผัส ด้านหลังมีช่องแอร์พร้อมช่องเสียบ USB-A ไว้ให้สำหรับผู้โดยสารตอนหลังด้วย
อีกหนึ่งจุดเด่นก็คือขนาดของห้องโดยสารที่ดูไม่แคบมาก และไม่รู้สึกอึดอัด เบาะคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง ขณะที่เบาะคนนั่งปรับเอนหน้าหลัง เลื่อนเบาะได้ แต่ไม่สามารถปรับความสูง-ต่ำได้ พนักพิงเบาะหลังแยกพับได้ ใต้ที่นั่งฝั่งซ้ายมีช่องดูดอากาศเย็นในห้องโดยสารไประบายความร้อนแบตเตอรี่ไฮบริดที่อยู่ใต้พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย พื้นที่เก็บของเพียงพอต่อการใช้งาน
อีกหนึ่งสิ่งที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ ระบบปฏิบัติการ i-SMART ที่เชื่อมต่อผู้ขับเข้ากับฟังก์ชันอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์เอ็มจี พร้อม Digital Key Technology รับ-ส่งกุญแจดิจิทัลผ่านสมาร์ตโฟนได้ ระบบ Navigation ที่สามรถทำงานได้ผ่านหน้าจอฝั่งคนขับ รวมถึงแสดงผลได้ทั้ง 2 จอ Dual Widescreen เติมเต็มอรรถรสในการฟังเพลงด้วยแอปพลิเคชัน JOOX ที่ใส่มาให้ในรถยนต์รุ่นนี้ด้วย
ขยับมาที่ขุมพลัง รุ่นนี้มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ผสานขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังรวมสูงสุดที่ 177 แรงม้า แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ความจุ 2.13 กิโลวัตต์ชั่วโมง ถังน้ำมันจุ 48 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ E-CVT เลือกโหมดการขับได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Comfort และ Sport และมีระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ปรับการชาร์จไฟฟ้ากลับได้ 3 ระดับ
พละกำลังเหลือล้น คือจุดเด่นของรถยนต์รุ่นนี้ ซึ่งจากบททดสอบในสนามแข่งปทุมธานี สปีดเวย์ ในเรื่องของอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่เอ็มจีเคลมไว้ 9 วินาที และลองประสิทธิภาพของช่วงล่างด้วยการขับแบบ Mini Circuit, Slalom และ LaneChange เริ่มจากลองอัตราเร่ง 2 ครั้ง สามารถทำตัวเลขประมาณ 8.4-9.2 วินาที ถือว่าสมรรถนะในเรื่องของอัตราเร่งทำได้อย่างน่าชื่นชม ในส่วนของ Handing การควบคุมตัวรถในการเข้าโค้งด้วยความเร็วเฉลี่ย 50-60 กม./ชม. ก็ถือว่าทำได้เนียน ด้วยระบบกันสะเทือนหน้า อิสระแม็กเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังทอร์ชั่นบีม รองรับการขับแบบรุนแรงกว่าการใช้งานจริงได้สบาย
และอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ผู้ขับไม่รู้สึกตื่นกลัวก็คือ ระบบความปลอดภัยที่ให้มา ทั้งระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบเบรกดิสก์ 4 ล้อ ด้านหน้ามีครีบระบายความร้อน ก็ทำหน้าที่ได้ดี สร้างแรงเบรกได้เหมาะสมกับกำลังของเครื่องยนต์ และควบคุมแรงเบรกได้ง่าย ทั้งการเบรกแบบฉุกเฉิน หรือการเบรกอย่างนุ่มนวล มาพร้อมระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) ระบบป้องกันการไหลของรถ AVH (Auto Vehicle Hold) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS (Anti-lock Brake System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution) และระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
โดยรวมของ New MG VS HEV คันนี้ ถือว่าให้ความคุ้มค่าในทุกๆ ด้าน อย่างเหมาะสมกับราคาที่ทางเอ็มจีตั้งไว้ในราคา 859,000- 919,000 บาท ไม่ว่าจะเป็น ตัวรถที่มีดีไซน์ล้ำสมัย มาพร้อมเทคโลยี และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี มีให้เลือกด้วยกันถึง 2 รุ่น D และรุ่นท็อปสุด X