“เอ็มจี” ย้ำบทบาท ขึ้นแท่นผู้นำอีวีไทย
เอ็มจี พร้อมก้าวสู่ผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ด้วยผลิตภัณฑ์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ผ่านรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายรุ่น ทั้ง MG ZS EV, MG4 และ 2 รุ่นล่าสุด MG ES และ MAXUS 9 พร้อมยกระดับการบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพ และเดินหน้าเติมเต็มระบบนิเวศยานยต์ไฟฟ้าให้ครอบคลุม สร้างความเชื่อมั่น ตอกย้ำเป้าหมายผู้นำยานยนต์ไฟฟ้ในประเทศไทย
ย้อนไทม์ไลน์เส้นทางตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดตัวรถอีวี รุ่นแรก คือ MG ZS EV ก็เริ่มสร้างกระแสให้กับผู้บริโภคชาวไทยได้ตื่นตัวรับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ก่อนจะเขย่าตลาดต่อเนื่อง ด้วยรถยนต์สเตชันแวกอน MG EP และปีที่ผ่านมา เสริมทัพรถแฮตช์แบ็ก MG4 และล่าสุดกับ MG ES เพิ่มทางเลือกหลากหลายในตัวผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้า รวมถึงรถยนต์พลังงานทางเลือกอื่นๆ ที่มีทั้งไฮบริด และปลั๊ก-อิน ไฮบริด พร้อมตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้รถยนต์พลังงานสะอาดให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม
สำหรับปี 2566 เป็นการดำเนินธุรกิจครบ 10 ปีของเอ็มจีในประเทศไทย ด้วยแผนการสร้างแบรนด์อย่างมั่นคง พร้อมด้วยโปรดักต์คุณภาพที่เข้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย การยกระดับบริการหลังการขาย และ EV ECOSYSTEM ควบคู่กันไปอย่างแข็งแกร่ง เอ็มจีได้ประกาศเป้าหมายของการก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 ด้วยการนำแบรนด์ขึ้นไปอยู่ 1 ใน 5 ของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เอ็มจีเตรียมสร้างความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับตลาดรถยนต์เมืองไทย โดยภายในครึ่งปีแรกมีแผนเปิดตัวอย่างน้อย 2 รุ่น พร้อมเดินหน้าส่งมอบรถอย่างเต็มกำลัง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการขึ้นเป็น 1 ใน 5 แบรนด์รถยนต์ในไทย
จากจุดเริ่มต้นที่เอ็มจีได้จุดประกายให้ตลาด EV เกิดขึ้นในไทยเมื่อ 4 ปีก่อน จนปัจจุบันคนไทยได้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าเอ็มจีแล้วกว่า 8,000 คัน และในปีนี้เอ็มจียังคงเดินหน้านำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ล้ำสมัย การันตีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล โดยมีแรงสนับสนุนจาก SAIC MOTOR CORPORATION พร้อมตั้งเป้าส่งมอบ EV เฉลี่ยเดือนละไม่น้อยกว่า 1,000 คัน
นอกเหนือจากเรื่องของสินค้าที่หลากหลายของทางแบรนด์ เอ็มจียังดูแลครอบคลุมไปยังเรื่องของ ‘การบริการ’ ผ่านการสร้างมาตรฐานการบำรุงรักษารถอีวีให้ลูกค้ามั่นใจได้ในทุกศูนย์บริการ ว่าจะดูแลรักษารถของคุณได้อย่างมีคุณภาพ ควบคู่ไปกับเดินหน้าขยายเครือข่ายระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด และอำนวยความสะดวกทุกพื้นที่ด้วยการเพิ่มสถานี MG Super Charge รองรับผู้ใช้บริการในทุกๆ 150 กิโลเมตรหรือน้อยกว่า ควบคู่กับการติดตั้งสถานีชาร์จในศูนย์บริการทั่วประเทศ และร่วมมือกับพันธมิตร อย่าง ‘บางจาก’ ขยายสถานีชาร์จออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับความต้องการในการเพิ่ม Quick Charge ทั่วประเทศ เพื่อให้ลูกกค้าเชื่อมั่นในศักยภาพ และไว้วางใจได้ว่าสามารถขับขี่ได้ทุกที่ทั่วไทย โดยภายในสิ้นปีนี้จะมีจำนวนสถานีชาร์จไม่น้อยกว่า 200 แห่ง
เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายสำคัญ ในการดำเนินธุรกิจที่ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยเทียบเท่าอุตสาหกรรมยานยนต์โลก