“EQS 450+” ทัพหน้า รถไฟฟ้าแห่ง “ดวงดาว” ผลิตโรงงานไทย รอลุ้นเรื่องราคา
เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เดินแผนทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้ซับแบรนด์ Mercedes-EQ ด้วย The new EQS 450+ AMG Premium พร้อมเดินเครื่องผลิตและประกาศราคาขายเวอร์ชันประเทศไทยอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งปีหลัง สานต่อความสำเร็จของยานยนต์ PHEV ค่ายดวงดาวในประเทศไทย สอดรับนโยบายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวภายในทศวรรษนี้
หลังจากที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ต้องพับแผนทำการตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) ไปในช่วงปลายปี 2020 เนื่องจากดีลที่ไม่ลงตัว ส่งผลให้ Mercedes EQC ที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ หมายมั่นปั้นมือที่จะเดินสายการผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย ไม่สามารถเดินไปตามทิศทางที่วางไว้
อย่างไรก็ดี ค่ายดวงดาวยังคงให้ความสำคัญกับยานยนต์สำหรับยุคถัดไป และรอเวลาที่เหมาะสม ก่อนจะเขย่าตลาดด้วย The new EQS 450+ AMG Premium ภายใต้รูปโฉมที่ล้ำสมัย ทว่า ยังคงไว้ซึ่งความเรียบหรูในสไตล์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ผสานด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้า มาพร้อมกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมของแฟนเมอร์เซเดส ที่ให้ความสนใจในเรื่องรูปร่างหน้าตา รวมถึงสมรรถนะและราคาที่จะวางจำหน่ายในบ้านเรา
“เมอร์เซเดส-เบนซ์ นำเสนอ 4 ซับแบรนด์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้แก่ Mercedes-EQ, Mercedes-Maybach, Mercedes-AMG และ Mercedes-Benz ตอบรับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างดีที่สุด เริ่มจากการเปิดตัว The new EQS ยานยนต์ไฟฟ้า 100% จาก Mercedes-EQ คันแรกอย่างเป็นทางการ”
“ภายใต้การปรับกลยุทธ์ของเราจากรถยนต์ไฟฟ้านำ (electric-first) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น (electric-only) ที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2573 และเป็นการสานต่อความมุ่งมั่นระยะยาวของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในการขับเคลื่อนเทรนด์ e-mobility เพื่อร่วมสร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีขึ้น ซึ่งเราเริ่มต้นไว้ตั้งแต่การเปิดตัวโครงการ Charge to Change ในปีที่ผ่านมา” มร.โรลันด์ โฟล์เกอร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว
สำหรับ The new EQS 450+ AMG Premium คือยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% คันแรก ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย พัฒนาขึ้นด้วยแพลตฟอร์มของยานยนต์ไฟฟ้าใหม่ทุกรายละเอียด ทั้งการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรม ไปจนถึงดีไซน์ภายนอกและภายใน ที่สะท้อนเอกลักษณ์ของความเป็นยานยนต์สำหรับโลกอนาคตจากเมอร์เซเดส-เบนซ์
ภายใต้มิติตัวถังที่มีความยาว 5,216 มิลลิเมตร กว้าง 1,926 มิลลิเมตร และสูง 1,512 มิลลิเมตร โดดเด่นหรูล้ำด้วยกระจังหน้าแบบ Black Panel รับกับไฟหน้า Digital Light ทรงเพรียว มุมมองด้านข้างออกแบบมาให้ตัวถังดูพุ่งไปข้างหน้า ส่วนด้านท้ายเป็นแบบ fastback ทันสมัย สะดวกสบาย ด้วยประตูเปิดอัตโนมัติ รวมถึงระบบปรับอากาศ HEPA สามารถกรองแบคทีเรียและไวรัสได้ เติมเต็มด้วยระบบเครื่องเสียงของ Burmester, MBUX Hyperscreen พร้อมหน้าจอโค้ง OLED ขนาด 12.3 นิ้ว
มาพร้อมขุมพลังไฟฟ้า 100% จากมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว พร้อมความจุของแบตเตอรี่ขนาด 107.8 kWh ให้กำลังสูงสุด 333 แรงม้า สร้างแรงบิดสูงสุด 568 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 6.2 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง และด้วยความจุของแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ส่งผลให้รถยนต์คันนี้สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 770 กิโลเมตร ต่อการชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 1 ครั้ง
การขยับตัวครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนโลกให้สะอาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายระดับโลกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ เอจี และกลยุทธ์ในการก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัวทั่วโลกภายในทศวรรษนี้ เริ่มต้นด้วยการเปิดตัวรถยนต์รุ่น EQS รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบคันแรก พร้อมแผนการประกอบรถยนต์รุ่นนี้ในประเทศไทย ภายใต้มาตรฐานการทำงานระดับโลก เพื่อเตรียมพร้อมจำหน่ายทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศในปี 2565
รวมถึงแผนการลงทุนด้านยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดำเนินงานของโรงงานผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ต่อยอดจากความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ PHEV ระดับลักชัวรี ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายเซ็กเมนต์ที่สุด เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยก้าวไปในทิศทางเดียวกันกับเทรนด์ยานยนต์โลก
โดย เมอร์เซเดส-เบนซ์ วางประเทศไทยเป็น 1 ใน 7 ที่ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่และโรงงานประกอบรถยนต์ทั่วโลก ตอกย้ำความมั่นใจในศักยภาพของตลาด และเล็งเห็นความสำคัญของการถ่ายทอดเทคโนโลยี รวมถึงการทำงานร่วมกับภาครัฐในการใช้พลังงานไฟฟ้า เป็นปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศ การตั้งโรงงานประกอบรถยนต์และผลิตแบตเตอรี่ในไทยด้วยมาตรฐานการผลิต โดยเฉพาะมาตรฐานการทดสอบแบตเตอรี่ในระดับสูงสุด เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้เติบโตรับเทรนด์ e-mobility